เนื้อหา ภาษาอังกฤษ ม.ปลาย หลักสูตรใหม่ เรียนเรื่องอะไรบ้าง?
มาดูแผนการเรียน ภาษาอังกฤษ ม.ปลาย รายละเอียดของเนื้อหาบทเรียน ม.4, ม.5, ม.6 หลักสูตรใหม่ ว่ามีเรื่องอะไรบ้าง และต้องเตรียมตัวสอบอย่างไร สำหรับปีการศึกษา 2566 เป็นต้นไป แต่ละเทอมมีอะไรบ้าง ไปดูกันเลย

ภาษาอังกฤษ ม.4 เรียนเรื่องอะไรบ้าง ?
เนื้อหา อังกฤษ ม.4 เทอม 1
สำหรับ ม.4 เทอม 1 จะเป็นการเรียนในเชิงของปรับพื้นฐานพวกโครงสร้างประโยคและเนื้อหาแกรมม่า รวมไปถึงพื้นฐานเรื่อง Tense ของภาษาอังกฤษที่จะใช้ในระดับ ม.ปลายด้วย
บทที่ 1 PRESENT TIME
- Present Simple / Present continuous
- Adverbs (คำกริยาวิเศษณ์)
- การเติม s ที่ท้ายคำและการสะกดคำที่ลงท้ายด้วย s/-es
- หลักการใช้ Yes/No Question และกริยาปัจจุบัน
บทที่ 2 NOUNS AND PRONOUNS
- การออกเสียงที่ลงท้ายด้วย s/-es
- รูปพหูพจน์ของคำนาม
- Sentence Structure และ Part of Speech ประธาน กริยา และกรรม
- รูปกรรมของบุพบท (Objects of prepositions)
- คำบุพบทบอกเวลา (Prepositions of time )
- การใช้คำคุณศัพท์เพื่อขยายคำนาม
- การใช้คำนามเป็นคำคุณศัพท์
- คำนาม
- คำสรรพนาม
- สรรพนามแทนบุคคล (Personal Pronouns)
- สรพพนามแทนความใกล้ไกล (Demonstrative Pronouns)
- สรรพนามแทนความเป็นเจ้าของ (Possessive Pronouns)
- สรรพนามแทนคำนาม (Reflexive pronouns)
- รูปเอกพจน์และพหูพจน์ของ other , anotherและ the other
อังกฤษ ม.4 เทอม 2
สำหรับ ภาษาอังกฤษ ม.4 เทอม 1 จะเป็นจะเจาะลึกเรื่อง Past Time และการทำ Question เพื่อเจาะลึกเรื่องคำถาม
บทที่ 1 PAST TIME
- Past Simple Tense
- รูปของ regular verbs
- รูปของ be
- กริยาอดีต ลงท้ายด้วย ed
- การสะกดกริยาในรูปของ ing และ ed
- รูปกาลของกริยาและการผันกริยา
- รูปแบบของประโยค Past Simple และ Past Continuous Tense
- Time clauses การบอกช่วงเวลาเหตุการณ์ในอดีต
- การใช้ used to
บทที่ 2 QUESTION WORDS
- คำถามและการตอบคำถามอย่างสั้น
- คำถามแบบ yes/no และคำถามเพื่อสอบถามข้อมูล
- Where, why, when และ what time
- การตั้งคำถามด้วย who, whom, what
- การใช้ which, whose, how, how often, how far
- การใช้ what + รูปของ do และ การใช้ what kind of
- การใช้ how about และ what about
- Tag questions

อังกฤษ ม.5 เรียนเรื่องอะไรบ้าง ?
ภาษาอังกฤษ ม.5 เทอม 1
เนื้อหาของช่วง ม.5 เทอม 1 จะเน้นเป็นเรื่อง กริยา คำสุภาพ และก็คำเชื่อม เป็นหลัก แต่เทอม 2 จะเป็นรูปประโยคอนาคต
บทที่ 1 MODAL AUXILIARIES
- กริยาช่วย (modal auxiliaries)
- คำแสดงความสามารถ can / could
- คำแสดงความน่าจะเป็น may / might / could
- การใช้คำถามอย่างสุภาพและการขอความช่วยเหลืออย่างสุภาพ
- คำแสดงข้อเสนอแนะ should/ought to
- คำแสดงความจำเป็นด้วย have to, have got to, must
- การใช้ must / must not
- Imperative sentences
- การใช้ prefer / likebetter / would rather เพื่อแสดงความชอบ
บทที่ 2 CONNECTING IDEAS
- การใช้คำเชื่อมความและประโยคด้วย and / but / or / so
- การใช้ so , either, neither
- การใช้เชื่อมความและประโยคด้วย because
- การเชื่อมความด้วย even though / although
เนื้อหา ภาษาอังกฤษ ม.5 เทอม 2
เนื้อหา ม.5 จะค่อนข้างเยอะ เรื่องประโยคในอนาคต การใช้ Gerund รวมไปถึง Passive Voice ที่จะเป็นเนื้อหาที่นักเรียนผิดพลาดเยอะ
บทที่ 1 เวลาในอนาคต
- การใช้รูปแบบ Be going to และ will
- การพูดถึงอนาคตด้วย time clauses และ if-clauses
- Present Continuous เพื่อบอกเหตุการณ์ในอนาคต
- Simple Present เพื่ออนาคตกาล
บทที่ 2 คำนามนับได้/ไม่ได้ และคำนำหน้านาม
- คำนามนับได้ กับ นามนับไม่ได้
- Several, a lot of, many/much และ a few/a little
บทที่ 3 Adjective Clauses
- who, whom, who ,whom , that , which
บทที่ 4 GERUNDS และ INFINITIVES
- กริยา + Gerund
- กริยา + infinitive
- in order to และ for
- infinitive กับ too และ enough
บทที่ 5 THE PASSIVE
- ประโยค Active Voice และประโยค Passive Voice
- Transitive and intransitive verbs
- รูป passive ของ present และ past

วิชาภาษาอังกฤษ ม.6 เรียนเรื่องอะไรบ้าง ?
ภาษาอังกฤษ ม.6 เทอม 1
ในส่วนของ ภาษาอังกฤษ ม.ปลาย ในม.6 เทอม 1 วิชาภาษาอังกฤษจะเน้นที่ Perfect Tense และการใช้ Noun Clauses
บทที่ 1 Present Perfect และ Past Perfect
- Past participle
- รูปประโยค
- การใช้ since และ for
- Present perfect continuous / present perfect / Past Perfect
- already, yet, still และ anymore
บทที่ 2 การใช้ NOUN CLAUSES
- Noun clauses ที่ขึ้นต้นด้วย question word
- Noun clauses กับ who, what, whose + be
- Noun clauses ที่ขึ้นต้นด้วย if หรือ whether
เนื้อหา ภาษาอังกฤษ ม.6 เทอม 2
เก็บรายละเอียดเนื้อหา Phrasal Verbs , เงื่อนไขประโยค และการเปรียบเทียบ
บทที่ 1 PHRASAL VERBS
บทที่ 2 PREPOSITION COMBINATION
บทที่ 3 CONDITIONAL SENTENCES AND WISHS
บทที่ 4 COMPARISONS ( การเปรียบเทียบ )

สรุป เนื้อหา ภาษาอังกฤษ ม.ปลาย เตรียมสอบ TCAS66
น้องๆ หลายๆคน คงกำลังเตรียมเนื้อหาวิชาภาษาอังกฤษที่เรียนไปตอน ม.ปลาย เพื่อเตรียมสอบ TCAS66 เช่น A-level 66 หรือ อังกฤษ TGAT
วันนี้ไม่ต้องไปหาที่ไหน พี่รวมเนื้อหา ภาษาอังกฤษ ม.ปลาย ครบตั้งแต่ ม.4 ม.5 ม.6 มาให้แล้ว เรียกว่า อ่านตรงนี้ เก็บครบทุกรายละเอียดเลย
Strategic structure (การวิเคราะห์ประโยคเชิงโครงสร้างเพื่อการสื่อสาร)
ประโยคต้องมีประธานและกริยาเสมอ ยกเว้นในประโยคคำสั่งและขอร้องที่สามารถละประธานได้
(you) Please help me. ละประธานคือ you
(you) Come back now! ละประธาน you เช่นเดียวกัน
โครงสร้างประโยคมี 5 แบบ
S + V – เมื่อ V เป็น intransitive ไม่ต้องการกรรม เช่น I am running.
S + V + O – เมื่อ V เป็น transitive ต้องการกรรม เช่น I drink milk.
S + V + O + O – มีกรรม 2 ตัว กรรมตรงเป็นสิ่งของ กรรมรองเป็นคน เช่น My mom gave me a pencil. (me เป็นกรรมรอง และ pencil เป็นกรรมตรง)
S + V + C – เมื่อ C คือ Complement ส่วนเติมเต็มความหมายของประโยค V ส่วนมากจะเป็น Linking V เช่น feel, sound, taste, smell, become, turn, get, grow, keep, go, come, look, appear, stay, remain และ Verb to be เช่น My father is a doctor. (a doctor เป็น C ไม่ใช่ O)
S + V + O + C – โดย V จะเป็นกริยาที่ต้องการกรรมและส่วนขยายกรรม (object complement) กริยาเหล่านั้น ได้แก่ find, think, have, get, make, render, like, set, let, leave, keep, want, consider, regard, open, paint, name, call, Appoint, prove, elect, chose, V of perception (see, hear, smell, notice, observe, watch) เช่น Please keep the table(O) clean(C).
การวิเคราะห์ประโยคตาม Strategic structure
หา V แท้ของประโยคให้เจอ
- Vแท้ ผันตาม Tense และ Voice และ พจน์ของประธาน
- Vแท้ จะอยู่หลัง helping V และ modals เสมอ
- Non-Finite V หรือ V ไม่แท้ ได้แก่ Gerund (Ving ที่เป็นคำนาม), To + Vinf, Participles (Ving/V3)
หา Subject & Object – สิ่งที่เป็น S และ O ได้ คือ
- Noun, pronoun, noun clause, gerund (ving), question words + To + Vinf
- Complement หรือ C ไม่นับเป็น object เพราะไม่ได้ถูกกริยาทำ แต่มาขยายช่วยให้ความหมายต่างหาก
ตัด Modifier (ส่วนขยาย) เพราะจะทำให้เราหา Vแท้ ได้ง่ายขึ้น หา S และ O ได้ง่ายขึ้นด้วย
- Prepositional Phrase (วลีที่ขึ้นต้นด้วยคำบุพบท) – in the backyard, on the hill
- Adjective clause (Relative clause)
- Clause with connector
- Participles (Ving/V3)
- Punctuation , – ; : ()
**** Complement (C ) ไม่ใช่ modifier เพราะเป็นส่วนสำคัญในประโยค ตัดทิ้งไม่ได้
Parts of Speech (ชนิดของคำ) สำคัญมากใน อังกฤษ ม.ปลาย
ไวยากรณ์เรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก ถือเป็นรากฐานของการใช้ภาษาอังกฤษเลยก็ว่าได้
สำหรับประโยคใดๆก็ตาม ให้มองว่าเปรียบเสมือนเป็นบ้านหลังหนึ่ง โครงบ้านเปรียบได้กับโครงสร้างประโยค(Sentence Structure) และห้องต่างๆภายในบ้านคือหลักทางภาษาหรือไวยากรณ์ (Grammar) ส่วนสิ่งของเครื่องใช้ หรือเฟอร์นิเจอร์คือ คำศัพท์(Vocabulary)
Parts of Speech ก็เปรียบได้กับห้องรับรองแขกที่มีความสำคัญมากๆของบ้านหลังนี้
การเรียนรู้ Parts of Speech จะทำให้ผู้เรียนทราบว่าแต่ละตำแหน่งหรือภาคส่วนในโครงสร้างของประโยคสามารถเป็นอะไรได้บ้าง เช่น ตำแหน่งประธาน(Subject) สามารถเป็นคำนาม (Noun) หรือ สรรพนาม(Pronoun) ได้ หรือตำแหน่งกริยา(Verb) สามารถนำกริยา(Verb) มาใส่ได้
S + V + C
1.Noun (นาม)
2.Pronoun(สรรพนาม)
3.Adjective(คุณศัพท์)
4.Verb(กริยา)
5.Adverb(กริยาวิเศษณ์)
6.Preposition(บุพบท)
7.Conjunction(สันธาน)
8.Interjection(อุทาน)
เนื้อหาส่วน Noun (คำนาม)
คือ คำที่ใช้เรียกแทนชื่อคน สัตว์ สิ่งของ ความคิด สภาวะ หรืออะไรก็ตามที่เรามีชื่อเรียกให้กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
คำนามในภาษาอังกฤษจะมี “พจน์” หรือการบ่งบอกจำนวนอยู่ด้วย
1.เอกพจน์(Singular) หมายความว่า นามตัวนั้นมีจำนวนเป็นหนึ่ง หรือนับไม่ได้
เช่น dog, cat, pen, gold, air, thought, building, concentration etc.
2.พหูพจน์(Plural) หมายความว่า นามตัวนั้นมีจำนวนมากกว่าหนึ่ง
เช่น dogs, cats, pens, people, children etc.
หน้าที่ของคำนาม
- เป็นประธาน(Subject)ของประโยค
a) A dog is black.
b) Students are playing basketball. - เป็นกรรม(Object)ของประโยค
a) I like dogs.
b) I miss your smiles. - เป็นกรรมของคำบุพบท(Prepositional Object) ในกรณีบุพบทแบบให้ความหมาย
a) I go to school every day.
b) She is sitting on the table. - เป็นส่วนขยายประธาน(Subject Complement)
a) I am a student. (a student เป็นคำนาม ไปขยาย I ) - เป็นกรรมตรง(Direct Object)หรือกรรมรอง(Indirect Object)ในประโยค
a) I name my dog Sally. (my dog เป็นกรรมรอง Sally เป็นกรรมตรง
ชนิดของคำนาม
1.นามทั่วไป(Common Noun) หรือคำนามที่ไม่เฉพาะเจาะจง เป็นคำนามปกติธรรมดา เช่น pen, pencil, table, desk, man, woman เป็นต้น
พจน์ของคำนามทั่วไปเป็นได้ทั้ง เอกพจน์และพหูพจน์
เช่น Dog หรือ Dogs, Child หรือ Children เป็นต้น
2.นามเฉพาะ(Proper Noun) คือคำนามที่เฉพาะ อาจเป็นสถานที่ หรือชื่อสายการบิน หรืออะไรก็ตามที่เฉพาะเจาะจงขึ้นมา จะขึ้นต้นด้วยตัวอักษรตัวใหญ่
เช่น the Sun, the Moon, the Earth, Air Asia Airlines, Qatar Airlines เป็นต้น
3.สมุหนาม(Collective Noun) หรือนามที่เป็นหมวดหมู่
เช่น A flock of birds, A school of fish, A band of thieves, A herd of sheep เป็นต้น
เช่น A pack of wolves (เอกพจน์) หรือ 2 packs of wolves, 3 packs of wolves (พหูพจน์)
4.นามวัสดุ(Material Noun) มักเป็นนามที่นับไม่ได้ มีพจน์เป็นเอกพจน์
เช่น Gold, Water, Copper, Air, Soil, Milk เป็นต้น
5.นามสภาวะ(Abstract Noun) เป็นนามที่นับไม่ได้ มีพจน์เป็นเอกพจน์
เช่น Concentration, Education, Writing, Running, Usage, Tiredness เป็นต้น
ที่มาของคำนาม
คำนามในภาษาอังกฤษแบ่งออกเป็น 3 แหล่งที่มา ได้แก่
1.นามที่เกิดมาเป็นนาม
2.นามที่มาจากการเติม Suffix เช่น -ness, -ment, -tion, -ty เป็นต้น
3.นามที่ได้มาจากการเปลี่ยนรูปของ Verb
- นามที่เกิดมาเป็นนาม พูดให้เข้าใจง่ายคือ นามที่ผู้เรียนรู้โดยอัตโนมัติว่าเป็นนาม หรือไม่ได้มาจากการเปลี่ยนแปลงรูปที่มาจาก Verb หรือ คำอื่นๆ เช่น Ant, Bat, Cat, Dog
- นามที่มาจากการเติม Suffix เช่น Cuteness (N) มาจาก Cute(adj) + Suffix -ness Employment(N) มาจาก Employ(V) + Suffix -ment
- นามที่มาจากการเปลี่ยนรูปของ Verb
- Gerund หรือ นามที่มาจาก Verb เติม -ing (มีความหมายว่า การ/ความ) เช่น Run > Running (N) การวิ่ง I like running. (ฉันชอบการวิ่ง)
**** A swimming pool >> คำว่า swimming เป็น Noun แปลว่าการว่ายน้ำ คำนี้ แปลว่า สระแห่งการว่ายน้ำ หรือ สระว่ายน้ำ หลักการ : นามซ้อนนาม ขยายนาม - To+Vinf หรือ นามที่มาจากการเติม To + V infinitive เช่น I love to run for the charity. (ฉันรักการวิ่งเพื่อการกุศล และมีความหมายเชิงอนาคต) หรือ To love is to give. (การรักคือการให้)
- Gerund หรือ นามที่มาจาก Verb เติม -ing (มีความหมายว่า การ/ความ) เช่น Run > Running (N) การวิ่ง I like running. (ฉันชอบการวิ่ง)
Article
A,An
- A + consonant sound (เสียงพยัญชนะ) / An + vowel sound (เสียง เอ อี ไอ โอ ยู)
- A, An ใช้บอกอัตรา บอกหน่วย เช่น 100 baht a month, 10kms an hour (ใช้แทน per ได้)
- ใช้กับคำนามที่ไม่เฉพาะเจาะจง หรือกล่าวถึงนามนั้นครั้งแรก
- ใช้นำหน้า อาชีพ เชื้อชาติ เช่น a doctor, a Thai
- โรคที่ไม่ใช่ชื่อเฉพาะ เช่น a headache, a toothache, a cold, a fever
The
- ใช้กับคำนามที่เฉพาะเจาะจง โดยมีคำขยายความหมายประกอบนามนั้นเสมอ เช่น The flowers that you gave to me (ขยาย flowers ว่าอันที่คุณให้ฉันไง)
- นำหน้านามที่รู้กันระหว่างผู้พูดและผู้ฟัง เช่น Please pass me the salt. (รู้อยู่แล้วว่าเกลิอไหน)
- The + Adj/V3 = กลุ่มคน, พวก มีพจน์เป็นพหูพจน์ เช่น the rich แปลว่ากลุ่มของคนรวย(หลายคน)
- The + ลำดับที่ + Noun เช่น the first son, the fourth season
- The + superlative adj. + Noun เช่น the most handsome man, the best athlete
Pronoun (สรรพนาม)
สรรพนาม คือ คำที่ใช้เรียกแทนคำนาม เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้คำนามนั้นๆซ้ำซ้อน และเพื่อความสวยงามของภาษา
โดยปกติทั่วไป การจะใช้คำสรรพนามได้นั้นต้องมีการกล่าวถึงคำนามมาก่อนแล้วอย่างน้อยหนึ่งครั้ง
เช่น I have a dog. It is of a Siberian husky breed.
(มีการกล่าวถึง a dog มาก่อนแล้ว ประโยคถัดไปจึงใช้ It ที่เป็นสรรพนามแทน a dog)
และหากผู้เรียนเข้าใจว่า “noun ใดๆนั้นมีพจน์กำกับ” แล้ว จะต้องเข้าใจต่อไปว่า pronoun ที่ไปแทน noun ใดๆ ก็จะได้รับพจน์ของ noun นั้นมาด้วย
เช่น There are three pencils on the table. They are mine.
(three pencils เป็นคำนามที่เป็นพหูพจน์ ประโยคถัดไปต้องใช้ They ซึ่งเป็นสรรพนามที่มีพจน์เป็นพหูพจน์เช่นเดียวกัน)
จากนิยามของสรรพนาม ผู้เรียนจำเป็นต้องรู้จักสรรพนามชนิดต่างๆ รวมถึงพจน์ของสรรพนามเหล่านั้นด้วย
ชนิดของสรรพนาม
1.Personal Pronouns
คือ คำสรรพนามที่ใช้แทนบุคคล มี 3 ระดับ คือ บุคคลที่ 1 2 และ 3
มี 2 ลักษณะการใช้งานคือ เมื่อเป็น Subject หรือประธานของประโยค และเมื่อเป็น Object หรือกรรมของประโยคหรือกรรมของ preposition
บุรุษที่1 | บุรุษที่2 | บุรุษที่3 | |
---|---|---|---|
Subjective Form | I,we | you | they,he,she,it |
Objective Form | me,us | you | them,him,her,it |
เช่น I love my mother. > My mother loves me.
You are the best, and that is why I love you.
I have bought some fruits for you. They are on the table, and please do not eat all of them.
2. Demonstrative Pronouns
คือ คำสรรพนามใช้แทนคำนามเพื่อบอกความใกล้ไกล
ใกล้ | ไกล | |
---|---|---|
รูปเอกพจน์(Singular Form) | This | That |
รูปพหูพจน์(Plural Form) | These | Those |
เช่น There are more than 50 residences in this area, and This is my house.
(แปลทำนองว่า นี่คือบ้านของฉัน ให้จินตนาการว่า เราไปเที่ยวหมู่บ้านเพื่อน แล้วเพื่อนแนะนำบ้านของเขาด้วยประโยคที่ว่า “นี่คือบ้านของฉัน” ในขณะที่กำลังจะเข้าตัวบ้าน)
These are all my books which I have brought for you to read.
(are ซึ่งเป็นกริยาพหูพจน์ ผันตาม These ที่เป็นสรรพนามพหูพจน์ แทนคำนามพหูพจน์ all my books)
3.Possessive Pronouns
คือ คำสรรพนามที่บอกความเป็นเจ้าของ
เช่น My name is John. What is yours ? (yours แทน your name)
Tell me your secrets, and then I will tell you mine.
(mine แทน my secrets)
4.Reflexive Pronouns
คือ คำสรรพนามที่ใช้แทนคำนามในประโยคเดียวกัน มักเป็นคำนามในตำแหน่งประธาน
เช่น I cut myself. (ฉันทำบีดบาด)
Are you talking to yourself ? (คุณกำลังพูด/คุยกับตัวเองอยู่หรอ?)
บุรุษที่1 | บุรุษที่2 | บุรุษที่3 | |
---|---|---|---|
Possessive Pronouns | mine,ours | yours | theirs,his,hers,its |
Reflexive Pronouns | myself,ourselves | yourself,yourselves | themselves,himself, herself,itself |
5. Reciprocal Pronouns
คือ สรรพนามที่มีความหมายทำนองว่า ระหว่างกัน มี 2 ตัว คือ each other และ one another
- Each other มีความหมายว่า ระหว่าง 2 สิ่ง/คน
- One another มีความหมายว่า ระหว่าง 3 สิ่ง/คน ขึ้นไป เช่น The 3 of us need to look out for one another.You and I have known each other for a very long time.
6.Interrogative Pronouns
คือ คำสรรพนามที่ใช้เป็นคำถามได้แก่ who,whom,whose,which,what,where, why, how
เช่น Who won the race ?
Whom am I speaking to ?
Which is your car?
What is your problem ?
7.Relative Pronouns
คือ คำสรรพนามที่ใช้แทนคำนามใน Relative clause หรือ Adjective clause (อนุประโยคที่ทำหน้าที่เป็น adjective ไปขยายคำนามที่อยู่ข้างหน้า)
เช่น This is my house which I have bought for a very cheap price.
(which เป็นสรรพนามแทน my house และตามด้วยอนุประโยค I have bought… เพื่อให้รายละเอียดกับนามที่ไปขยาย)
บทเรียนนี้จะกล่าวละเอียดอีกครั้งในเรื่อง Adjective
8.Indefinite Pronouns
คือ คำสรรพนามที่ไม่ได้เฉพาะเจาะจง แทนนามทั่วๆไป ไม่ได้กล่าวถึงเฉพาะ สรรนามในกลุ่มนี้มีเยอะที่สุด สิ่งที่ผู้เรียนต้องระวังคือเรื่องพจน์ ผู้เรียนต้องรู้พจน์ของสรรพนามแต่ละตัวด้วย
all, some, any, several, anyone, nobody, each, both, few, either, none, one, no one
Indefinite Pronouns | ||||
---|---|---|---|---|
แทนคำนามเอกพจน์ | nobody,noone,nothing,,anybody,anyone,anything,somebody,someone,something,either,each,everybody,everyone,everything | |||
แทนคำนามพหูพจน์ | all,some,any,several,few,many | |||
ได้ทั้งคู่ | any,all,some,several,few,none |
เช่น Nobody is at home right now.
There are 20 pencils on the table. All are mine.
ภาษาอังกฤษ ม.ปลาย ต้องเข้าใจ Adjective (คุณศัพท์)
คือ คำที่ใช้ขยายคำนามและคำสรรพนาม เพื่อให้รายละเอียดที่มากขึ้น
ตำแหน่งในการวาง Adjective
หน้าคำนาม/หลังคำนาม เช่น
- A good boy
- A flying bird
- A self-loved person
- There is no student, wiser and smarter, in this room than Paul.
หลัง Verb to be/Linking Verbs
เช่น She is smart. It has become more beautiful than ever before.
หลัง Indefinite Pronouns
- I met someone smart today at my office.
- Today I will take you somewhere special.
สิ่งที่ผู้เรียนต้องรู้เกี่ยวกับ Adjective นอกจากตำแหน่งการวางของมันในประโยคแล้ว ผู้เรียนยังต้องรู้จักที่มา รู้ว่าอะไรคือ Adjective หรือ Adjective สร้างขึ้นมาได้อย่างไรด้วย
ที่มาของ Adjective
เกิดมา/มีรูปเป็น Adjective เช่น beautiful, good, great, thin, small, big
เกิดจากการเติม Prefix หรือ Suffix เช่น translate (v) > translative (adj) communicate (v) > communicative (adj) internation (n) > international (adj)
เกิดจากการเปลี่ยนรูปของ Verb ( Ving และ V3)
Participle คือ Adjective ที่มาจากการลดรูปของประโยค 2 ลักษณะ คือ
Present Participle : Ving มีความหมายว่า กำลังกระทำ เช่น Do you see that flying bird ? (คุณเห็นนกที่กำลังบินตัวนั้นรึเปล่า?)
กรณีศึกษา : A dog barked at a stranger. / The dog has black tail.
รวมประโยค โดยยึดประโยคที่สองเป็นประโยคหลัก
The barking dog has black tail.
หรือ The dog barking at a stranger has black tail. (เรียกว่า participial phrase ทำหน้าที่ขยายนาม dog ให้รายละเอียดได้มากกว่า participle ที่เป็น adjective เดี่ยว
Past Participle : V3 มีความหมายว่า ถูกกระทำ หรือมาจาก passive voice
I have 3 used cameras at home. (ฉันมีกล้องที่ใช้แล้ว 3ตัวที่บ้าน)
กรณีศึกษา : A victim was killed in a car crash. The victim was a male.
รวมประโยคทั้งสองเข้าด้วยกัน ให้ประโยคที่สองเป็นหลัก
The killed victim was a male. (participle)
The victim killed in a car crash was a male. (participial phrase)
Ving/V3 ที่มาจากกลุ่ม Verb ที่แปลว่า ทำให้…..
เช่น interest,bore,excite,frustrate,embarrass เป็นต้น
- Interest (v) ทำให้สนใจ
- Interesting (adj) น่าสนใจ
- Interested (adj) รู้สึกสนใจ
ตัวอย่าง : She interests(v) me with her beautiful blue eyes (หล่อนทำให้ฉันสนใจหล่อนด้วยดวงตาสีฟ้าแสนสวย)
This book about Thai food is interesting. (หนังสือเกี่ยวกับอาหารไทยเล่มนี้น่าสนใจมาก)
I am not interested in going to a party tonight. (ฉันไม่ได้รู้สึกสนใจในการไปปาตี้คืนนี้)
การขยายคำนามหรือคำสรรพนามใดๆ เป็นหน้าที่ของ Adjective เสมอ แต่ในภาษาอังกฤษนั้น ผู้เรียนมีตัวเลือกหลากหลายในการขยายหรือให้รายละเอียดแก่นามหรือสรรพนามใดๆ ได้มากกว่าหนึ่งวิธี
วิธีในการขยายนามมีดังนี้
ใช้ Adjective
ตรงๆ ในการขยาย เช่น A good boy / I am smart.
ใช้ Clause
Relative Clause หรือ Adjective Clause ในการขยาย(วางไว้หลังนามที่ขยาย
- I have a dog. (Simple Sentence)
- The dog was named Sally. (Simple Sentence)
- I have a dog whose name is Sally. (Complex Sentence) หรือ I have a dog who was named Sally.
การใช้ Relative Clause ขยายคำนามหรือสรรพนาม เป็นการทำให้ประโยคกลายเป็นความซ้อน
หรือสามารถเข้าใจได้ว่า : Main มี Sub ซ่อนอยู่ข้างใน คือ Complex (ความซ้อน)
จะตรงกันข้ามกับ : Main + Main คือ Compound (ความรวม)
Noun Clause
เช่น The news that he was murdered is not true.
The belief that the Earth was flat has been proved wrong.
ใช้ Phrase
หรือ วลีขยาย ซึ่ง Phrase ที่ใช้ในการขยาย noun/pronoun
Prepositional Phrase (บุพบทวลี)
เช่น I have 10 pencils in my pencil box. (ขยายว่า ดินสอที่อยู่ในกล่องดินสอ)
Participial Phrase
เช่น I am driving a car really fast, going to catch the morning train.
I saw a man killed in a car crash.
ใช้ Noun/Nouns in apposition
หรือ appositive ขยาย เช่น This is Barrack Obama, the former president of the US.
I studied at Thammasat University, one of the most well-regarded academic institutes in Thailand.

Adjective Clause
ทำหน้าที่ในการขยายคำนามหรือคำสรรพนาม ขยายตัวไหนวาง Adj clause ไว้หลังตัวนั้น
Adj Clause มี 2 ชนิด คือ
Indefinite
การขยายแบบไม่เฉพาะเจาะจง เป็น การขยายสิ่งที่ไม่มีรายละเอียดให้มีรายละเอียด กล่าวคือ เป็นการขยายที่สำคัญต่อการให้ความหมายของประโยค หากตัดส่วนขยายนี้ทิ้งจะทำให้ความหมายของประโยคเปลี่ยน
เช่น The place where I am living now is such a mess.
(สถานที่ที่ฉันอยู่ตอนนี้มันยุ่งเหยิงมาก)
หากตัดส่วนขยาย Adj clause นี้ออกไป จะทำให้ความหมายของประโยคเปลี่ยน
The place is such a mess. (ไม่รู้ว่าเป็น สถานที่ไหน เพราะตัดส่วนขยายออก)
Definite
การขยายแบบเฉพาะเจาะจง เป็นการขยายสิ่งที่มีรายละเอียด กล่าวคือ เป็นการขยายที่ไม่สำคัญต่อการให้ความหมายของประโยค หากตัดส่วนขยายนี้ทิ้งจะไม่ทำให้ความหมายของประโยคเปลี่ยน
เช่น Barrack Obama, who was the former president of the US, was a Harvard graduate.
หากตัดส่วนขยายนี้ออกจะเหลือ Barack Obama was a Harvard graduate. (ก็ยังคงได้ความหมายอยู่ เพราะเป็นที่รู้กันดีว่า Barack Obama เคยเป็นอดีตประธานธิบดีของสหรัฐอเมริกา)
***สังเกตุว่า การขยายแบบไม่เฉพาะเจาะจง ไม่มี คอมม่า (,) การขยายแบบเฉพาะเจาะจง มี คอมม่า (,)
หลักการใช้งาน Adjective Clause
1. ขยายนามหรือสรรพนามตัวไหน วาง Adj Clause ไว้หลังตัวนั้น
Noun + Relative Pronouns + Clause
S1 : I have a dog.
S2 : Everyone loves my dog.
S1 + S2 = S3
S3 : I have a dog which/that everyone loves. หรือ Everyone loves the dog which/that I have.
หลักการคือ ถ้าหากมี 2 ประโยคที่มีประธาน หรือกรรมร่วมกัน (มีนามหรือสรรพนามเป็นตัวเชื่อม) ผู้เรียนสามารถลดรูปจากสองประโยค ให้กลายเป็น หนึ่งประโยคความซ้อน(complex) ได้ด้วยการใช้ Adjective Clause
**** พึงระวัง : จากตัวอย่างประโยคข้างต้น สังเกตุว่า นามที่ S1 และ S2 มีร่วมกันคือ dog
ให้ผู้เรียนวิเคราะห์ ดังนี้ Dog ใน S1 เป็น กรรม(object) ของประโยค
Dog ใน S2 เป็น กรรม(object) ของประโยค
หากสมมุติ S2 ใหม่ เป็น The dog has a very unique talent. ซึ่ง Dog เป็น ประธาน(subject)
จะได้ S3 ใหม่เป็น I have a dog which/that has a very unique talent.
จากกรณีนี้ ผู้เรียนจะทราบว่าหลักการง่ายๆของ Adjective Clause คือ เอาประโยคมาเชื่อมกัน ผ่านทางคำนามหรือคำสรรพนาม โดยมี Relative Pronouns มาเชื่อมClause นั่นเอง
Indefinite | Definite | บอกความเป็นเจ้าของ | |
---|---|---|---|
คน,สัตว์ | Who,Whom,That | Who,Whom | Whose |
สิ่งของ | Which,That | Which | Of which |
จำง่ายๆว่า ถ้าเห็น Adjective Clause แบบมีคอมม่า(แบบ definite) เมื่อไหร่ ห้ามใช้ That เป็น relative pronoun
หรือ จำว่า เจอคอมม่า ห้ามใช้ that
เช่น Our teacher, who is very kind to us, has finally decided to pursue a master’s degree.
(ห้ามใช้ ,that is very kind to us,)
2. Who ใช้เมื่อ นาม/สรรพนามนั้น ทำหน้าที่เป็น Subject ของ Clause
เช่น A man is tall.
A man is my friend.
เป็น The man who is my friend is tall.
3. Whom ใช้เมื่อ นาม/สรรพนามนั้น ทำหน้าที่เป็น Object ของ Clause
เช่น My father lives in the US.
I want to tell him that I love him.
เป็น My father whom I want to tell that I love him lives in the US.
4. Whose ใช้กับ คน,สัตว์ /Of Which ใช้กับสิ่งของ
เช่น This is my teacher whose teaching techniques are very good.
หรือ I want to buy that house, of which architecture is very unique
Verb
คือ คำกริยา ทำหน้าที่บ่งบอกว่า subject ทำอะไร หรือมี action อะไรในประโยค
Key word : 1 sentence มี 1 V แท้ (ยกเว้น ประโยคแบบ combined predicate)
เช่น I have loved my mother and cared for her for such a long time.
(ในที่นี้จะมี verb แท้ 2 ตัวคือ loved และ cared เพราะประธานคือคนคนเดียวกัน นั่นก็คือ I )
สำหรับเรื่อง verb สิ่งที่ผู้เรียนต้องรู้มีอยู่ 2 อย่าง ได้แก่
1.1) Transitive/Intransitive Verb (VT/VI)
(ต้องการกรรม/ไม่ต้องการกรรม)
เช่น I love you. (ในที่นี้ love เป็น VT ต้องการกรรม)
แต่ I run. (ในที่นี้ run เป็น VI ไม่ต้องการกรรม)
สมมุติใหม่เป็น I run a very fast pace. (a very fast pace นี้ไม่ใช่กรรม แต่เป็นส่วนขยายหรือ C ทำหน้าที่ขยาย verb : run เสมือนเป็น adverb)
1.2) Verb แท้/Verb ไม่แท้ (Finite and Non-Finite Verb)
Verb แท้ คือ V ที่ทำหน้าที่ V ในประโยค
Verb ไม่แท้ คือ คำชนิดอื่นๆที่ยืมรูป verb มาใช้ (มักเป็น Ving,V3,To+Vinf)
เช่น I love that flying bird.
(love เป็น verb แท้ของประโยค ส่วน flying เป็น verb ไม่แท้ ทำหน้าที่เป็น adjective ขยาย noun : bird)
หรือ Going to school in the morning is really not my thing.
(going to school in the morning เป็น verb ไม่แท้ ที่เรียกว่า gerund phrase เสมือนเป็น noun ทำหน้าที่เป็น subject ของประโยค ส่วน is เป็น verb แท้ของประโยค)
และหากเมื่อพูดถึง Verb แท้แล้ว ผู้เรียนต้องเรียนรู้ถึงอุปกรณ์ที่จะช่วยให้การให้ความหมายของ Verb แท้ของผู้เรียนมีความหมายมากขึ้น
เครื่องมื่อเหล่านั้น ได้แก่
Auxiliary Verbs
หรือเรียกว่า Verb ช่วย และหากถามว่า ช่วยอะไร ? คำตอบคือ ช่วยบ่งบอก Tools ที่ใช้กับ tense ของประโยค
ซึ่ง auxiliary verbs มี 3 กลุ่มหลักๆ คือ
- Verb to be
- Verb to have
- Verb to do
Verb to be | ใช้กับรูปแบบ Continuous | ใช้ได้กับทุก tense ไม่ว่าจะเป็น Past, Present, Future | เช่น I am running She was singing. He will be coming. |
---|---|---|---|
Verb to have | ใช้กับรูปแบบ Perfect และ Perfect Con | ใช้ได้กับทุก tense ไม่ว่าจะเป็น Past, Present, Future | เช่น I have lived here for many years. |
Verb to do | ใช้กับการคั้งคำถามโดยที่มีกริยาแท้เพียงตัวเดียว เช่น Do you love me? Did he like you? | ใช้กับการแต่งประโยคปฏิเสธ เช่น I do not love you. He did not like you. | ใช้กับ Inversion รูปแบบหนึ่ง เช่น Never do I love you. เป็นการเน้น ว่า ไม่เคยรักเลย เอา Never ขึ้นต้นประโยค |
สรุป auxiliary verb มี
- Verb to do >>> do,does,did
- Verb to have >>> have,has,had
- Verb to be>>> is,am,are,was,were,be,been
Modals
- Can
- Could
- May
- Might
- Must
- Ought to
- Shall
- Should
- Will
- Would
แบ่งเป็นกลุ่มได้ ดังนี้
- can/could (แปลว่า สามารถ/ทำได้ หรือเพื่อบอกความเป็นไปได้)
- may/might (แปลว่า อาจ/อาจจะ หรือเพื่อบอกความเป็นไปได้)
- should/ought to (แปลว่า ควร)
- will/shall/would (แปลว่า จะ)
- must(แปลว่า ต้อง)
Adverb
คือ กริยาวิเศษณ์ ซึ่งมีหน้าที่ในการขยาย verb,adjective,adverb หรือขยายทั้งประโยคเพื่อส่งเสริมความหมาย หรือเป็นการเน้นความหมาย
สามารถจำได้ง่ายๆว่า Adverb ขยายทุกอย่าง ยกเว้น noun กับ pronoun เพราะมันเป็นหน้าที่ของ adjective
ผู้เรียนต้องเข้าใจก่อนว่า หลักการในการขยายของภาษาอังกฤษจะมีอยู่ 2 ลักษณะ คือ
1.ขยายแบบ Adjective – ขยาย noun/pronoun เพื่อเพิ่มความหมายในคำนั้น
2.ขยายแบบ Adverb – ขยายส่วนอื่นๆของประโยคเพื่อเพิ่มความหมายเช่นกัน
ซึ่งทั้ง 2 ลักษณะนี้ จะมีเครื่องมือในการขยายต่างกัน กล่าวคือ
เครื่องมือที่ใช้ในการขยายแบบ Adjective:
1.adjective
2.noun (noun ซ้อน noun ขยาย noun และ noun in apposition)
3.adjective และ noun clause
4.participial และ prepositional phrase
เครื่องมือที่ใช้ในการขยายแบบ Adverb:
1.adverb
2.adverbial clause
3.participial และ prepositional phrase
ตำแหน่งในการวาง Adverb
ขึ้นอยู่กับชนิดของ Adverb แต่ให้ผู้เรียนยึดหลักการขั้นพื้นฐานไปก่อนว่า วาง Adverb ไว้หน้าคำไหน ขยายคำนั้น สำหรับการขยาย adjective หรือ adverb
เช่น I don’t like him that much. (ขยาย adverb : much)
หรือ I am a very smart man. (ขยาย adjective : smart)
สำหรับการขยาย Verb นั้นตำแหน่งของ Adverb จะขึ้นอยู่กับชนิดของ Adverb ส่วนมาก Adverb of manner/place/time จะวางไว้ข้างหลังประโยค หรือหลัง verb
เช่น I love you so much.
I went to the mall yesterday.
You can live here.
ชนิดของ Adverb
1. Adverb of manners บอกลักษณะ อาการ ท่าทาง มักเป็นพวก adjective + ly เช่น
a.) quick > quickly
b.) Smart > smartly
เช่น I can run quickly. (วางไว้ข้างหลังของ verb : run ได้) ซึ่งมักเป็นที่นิยมใช้มากกว่า
หรือวางไว้ข้างหน้าก็ได้ I can quickly run.
**** แต่ไม่ใช่เสมอไปที่ adverb of manner จะมีรูปเป็น adj+ly เช่น well,hard,fast
เช่น I can run fast.
2. Adverb of place บอกว่า ที่ไหน ให้รายละเอียดเกี่ยวกับสถานที่แก่ประโยค มักอยุ่หลัง verb หรือท้ายประโยค
เช่น You can look there. (there ในความหมายที่ว่า ที่นั่น)
ตัวอย่าง adverb of place : southeast, everywhere, up, left, close by, back, inside, around
**** แต่มีการใช้งานอีกแบบสำหรับ here/there
เช่น Here comes the bus.
There goes the story.
Here he comes.
There you go.
นอกจากนั้น adverb of place ยังมีพวก -ward/wards เช่น onward,upwards,forward
3. Adverb of frequency บอกความถี่ ได้แก่
บอกว่าไม่เคย : never
บอกว่าไม่บ่อย/แทบจะไม่ : barely,hardly,scarcely,rarely,seldom
บอกว่าบางครั้ง: sometime
บอกว่าบ่อยครั้ง : often
บอกว่าเป็นปกติ : usually,normally,casually
บอกว่าตลอดเวลา : always
แต่ก็จะมีอีกจำพวกที่บอกความถี่อิงกับเวลา เช่น hourly,daily,weekly,monthly,yearly,annually
4. Adverb of time บอกเวลา เช่น yesterday,tomorrow,now,
มักวางไว้ท้ายประโยค แต่วางไว้ต้นประโยคได้ถ้าต้องการเน้นเวลา
เช่น I will go with you tomorrow. หรือ Tomorrow I will go with you.
Adverb order
หากในประโยคมี Adverb หลายตัว ในภาษาอังกฤษจะมีวิธีที่เป็นกลางในการวางตำแหน่งของ Adverb เหล่านั้นด้วย ดังนี้
1. Adverbs of manners.
2. Adverbs of place.
3. Adverbs of frequency.
4. Adverbs of time.
5. Adverbs of purpose.
I run (verb) quickly (manner) down the road (place) every morning (frequency) before school (time) because (purpose) I might miss the bus.
Conjunction
คือ คำสันธาน มีหน้าที่ในการเชื่อม words,phrases หรือ clauses เข้าไว้ด้วยกัน
ประโยชน์ของ Conjunction คือ การที่ผู้เรียนสามารถสร้าง/ใช้งาน compound/complex sentence ได้
Key word สำคัญในการเรียนรู้เรื่อง conjunction คือ
“ Conjunction เชื่อมสิ่งที่เหมือนกันเท่านั้น”
เช่น เชื่อม noun กับ noun > dogs and cats
แต่สามารถเชื่อม Noun กับ Pronoun ได้ด้วยนะครับ เพราะถือเสมือนว่าเป็นสิ่งเดียวกัน
เช่น The students and I are going to school early tomorrow.
เชื่อม verb กับ verb > eat and drink
ตัวอย่างด้านบน คือ การใช้ conjunction เชื่อมคำ(word)
หรือ เชื่อม phrase กับ phrase > in the garden and outside the country
และ เชื่อม clause กับ clause > I don’t know you well,but I feel that I can trust you.
ชนิดของ conjunction
1.Coordinating conjunction (F.A.N.B.O.Y.S)
เชื่อม ทุกสิ่งทุกอย่างที่เหมือนกัน เช่น nounกับnoun, verbกับverb, หรือ phraseกับphrase แม้กระทั่ง independent clause กับ independent clause
Coordinating conjunction มี 7 ตัว
กลุ่มที่มีความหมายคล้อยตามกัน
1. And
กลุ่มที่มีความหมายตรงข้ามกัน(ปฏิเสธ)
2.But
3.Yet
4.Nor
กลุ่มที่มีความหมายเป็นเหตุเป็นผล
5.For
6.So
กลุ่มที่มีความหมายให้เลือก
7.Or
รวม 7 ตัวเรียกง่ายๆว่า FANBOYS > For, And, Nor, But, Or, Yet, So
**** เวลาใช้ Coordinating conjunction เชื่อม clause ต้องมี comma (,) คั่นข้างหน้า conjunction
เช่น I think I love you, but I know you don’t love me.
2.Correlative Conjunction
พบบ่อยๆ เช่น
_____Or_____
Not only_____But also______
Either_____or_______
Neither_____nor______
เช่น
Either you or I am going to win this match today. (เชื่อม pronoun กับ pronoun)
(ทำหน้าที่ subject ของประโยค Verb ผันตาม pronoun : I)
****จำง่ายๆว่า ถ้าใช้ Correlative conjunction ในการเชื่อม noun หรือ pronoun เป็น subject ของประโยค verb จะผันตามพจน์ของ noun/pronoun ตัวหลัง****
เชื่อม clause เช่น
Neither do I want to know you, nor I want to see you.
Not only are you our class’s best student, but you are also the most beautiful girl in this town.
****สังเกตุว่า จะมีการใช้ Inversion หรือ การใช้โครงสร้างแบบกริยาขึ้นก่อนประธานในประโยคตัวอย่างข้างต้น****
3.Subordinating Conjunction
เป็น conjunction เชื่อม clause เท่านั้น แต่เป็น Independent clause (main clause) กับ dependent clause (subordinate clause)
เป็นลักษณะของ sub ทำหน้าที่ขยายความหมาย main ในด้านใดด้านหนึ่งตามชนิดของ subordinating conjunction
ชนิดของ Subordinating Conjunction แบ่งตามความหมาย
